ความทรงจำที่ประเทศไอซ์แลนด์
เดือนที่แล้ว ญาติผู้น้อง ลงภาพบ้านตัวเองใน FB เอ …นี่ บ้านหรือป่าอเมซอนเนี่ย ต้นไม้เยอะม๊าก จนกลัวว่าจะมีงู เลยได้ทักทายคุยกัน หล่อนบอก เจ้ ..เนี่ยต่ายเอาภาพที่เราถ่ายตอนไปเที่ยวที่ไอซ์แลนด์มาลงผ้า (ดูมัน ดองเอาไว้ 5 ปี เพิ่งคลอด) แล้วส่งรูปภาพผ้าที่หล่อนทำมาให้ดู อุ๊แม่เจ้าโวย มันส้วยสวย ต่ายเอาไปทำผ้าม่านแขวนในบ้านได้อย่างสวยงาม เป็นผ้าผืนใหญ่ไม่มีรอยต่อ คือหล่อนใจดีชอบให้ผ้าอิเจ้เสมอ เดี๋ยวผ้าไหม ผ้าทอ เพราะหล่อนมีเยอะ ทั้งซื้อเอง เก็บสะสม และมีคนให้ ต่ายเป็น fashion designer ต่ายจะออกแบบ สรรค์สร้างต่อยอด ให้ผู้ประกอบการ ได้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และมีสไตล์ ต่ายจะไปสอนตามชุมชน ตามโครงการ แม้แต่มหาวิทยาลัย ก็ไปเป็นอาจารย์พิเศษนะ แบบ go inter ก็เยอะ ประสานงานกับกรมวัฒนธรรม และอื่นๆ อีกมากมายที่ดิฉันไม่รู้ เอาเป็นว่า อิเจ้เลยได้ผ้ามาอีก เอามานอนกอดก่อน ค่อยๆ คิด จะเอาตัดชุดอะไรดี ❤️
ทำให้นึกถึงทริปไอซ์แลนด์ ที่ไปกัน 2อาทิตย์ ผู้ร่วมชะตากรรมก็เป็นใครไปไม่ได้ ก็มี ดิฉัน แม่ น้องสาว สามีดิฉัน น้าผู้หญิง (แม่ของต่าย) และต่ายเราไปไอซ์แลนด์ตอนหน้าหนาว หารู้ไม่ เที่ยวหน้าหนาวที่ ไอซ์แลนด์มันไม่ง่ายเลย แต่สมาชิกซื้อตั๋วเตรียมตัวกันอย่างรวดเร็ว เลยเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความยากที่ 1 คือ หา motorhome ยากเนื่องจากบริษัทหลายบริษัทปิดทำการ ตัวเลือกน้อย แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มี เราได้เช่ารถบ้านแบบที่ต้องการ 6 ที่นอน สะดวกดี กิน นอน ในรถ ห้องน้ำก็มีของเราเอง ปวดเมื่อไรก็มีที่เข้า แต่มีกฎนะค่ะ ห้าม ถ่ายหนัก (กฏดิฉันเอง)
คันนี้เลย 6 berths

เส้นทางที่ขับก็ง่ายๆ เพราะเป็นถนนหลักมีอยู่เส้นเดียว คือ Golden Circle จะตะวันออก หรือ ตะวันตกก่อน มืดไหนนอนนั่น แต่ก็ไม่ง่าย เพราะจะไม่สามารภ wild campingได้ ต้องเข้าจอดในสถานที่ ที่มีจัดให้ไว้ แต่ก็มีข้อยกเว้นบางกรณี ที่เราได้ประสบมากับตัว
ช่วงหน้าหนาว เป็นช่วง low season, campsite หลายแห่งปิด เราจึงต้องคอยเช็ค และที่พัก บางแห่งก็ไม่อนุญาติให้ dump ของเสีย เพราะไม่สามารถเปิดฝาได้เนื่องจากน้ำแข็งเกาะติดแน่น เติมน้ำบางทีก็เติมไม่ได้ เพราะ service station เป็นน้ำแข็งด้วย บางแห่งให้ต่อสายยางจากอาคาร ผ่านหน้าต่างเพื่อเติมใส่ในรถซึ่งเราต้องการเก็บไว้ใช้ระหว่างเดินทาง
ในความคิดของดิฉัน ปี 2019 สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ในcampsite ที่ ไอซ์แลนด์ ค่อนข้างจะไม่สมบูรณ์ มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับ ที่ประเทศนิวซีแลนด์ที่เราไปมาในปี 1993 (30 ปีที่แล้ว) ที่ไอซ์แลนด์ สถานที่แต่ละที่ที่เราไป ห้องอาบน้ำ มีจำกัดแค่ 2-3 ห้อง ห้องครัวก็เล็ก ๆ ถ้าเราเข้าที่พักสาย เราจะต้องเข้าคิวรอ โชคดีที่เป็นหน้าหนาวนักท่องเที่ยวไม่ได้เยอะมากมาย นี่ก็เป็นอีกอย่างนึงที่ไม่คาดคิด
ทุกๆ วันก่อนเราจะออกเดินทาง เราจำเป็นต้องตรวจสอบอากาศ จาก app มันอันตรายมากถ้าเราไปเจออากาศที่แย่ๆ กลางทาง แล้วไม่สามารถจอดหลบ ตามตึก หรืออาคาร ได้ เพราะไม่มีที่จะให้เราหลบได้เลย ใน 2 อาทิตย์ที่เราขับ มีอยู่หลายหนที่เราเห็น รถเก๋ง กลิ้งตกลงข้างทางที่เต็มไปด้วยหิมะ แม้ว่า motorhome ที่เราขับจะใหญ่ก็ตาม พื้นที่ผนังข้างรถซึ่งก็ใหญ่ตามไปด้วย และลมปะทะที่โถมเข้าหารถแบบเต็ม ๆ ก็สามารถทำให้รถพลิกคว่ำได้
Pingvellir National Park เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ อยู่ในเส้นทางวงแหวน เป็นหุบเขาที่มีการแยกของแผ่นเปลือกโลก

Oxararfoss น้ำตกในบริเวณอุทยาน
Geysir
Gullfoss หนึ่งในน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดใน ไอซ์แลนด์เป็นน้ำตก 2ชั้น ความสูงที่ 31 เมตร วันนั้นฝนตกปรอย ๆ และถึงแม้ว่าจะไม่มีฝน ก็มีลมแรง และน้ำที่กระจายไปทั่วในอากาศ ก็สามารถทำให้เราเปียกปอนได้ ไอซ์แลนด์ เป็นดินแดนมหัศจรรย์ธรรมชาติจริง ๆ ตลอดเวลาที่เราขับรถบนเส้นทางหมายเลข 1 มันเป็นการยากที่เราจะไม่จอดรถถ่ายรูปเลย ที่นี่มีน้ำตกทั่วไปหมด จำได้ว่าในวันท้าย ๆ ของการเดินทางมีคนปฏิเสธที่จะไม่ลงจากรถไปดูน้ำตก เพราะหล่อนบอก เบื่อละ !!!
Seljalandsfoss น้ำตกอีกแห่งหนึ่งที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ของเค้า จำได้ว่าก่อนออกเดินทาง ดิฉันมุ่งหมายที่จะไปเยี่ยมชมที่นี่มาก ถึงกับต้องหาซื้อผ้าใหม่ ต้องเตรียมเสื้อผ้าที่กันน้ำ เพราะเราสามารถที่จะเดินขึ้นไปและเดินอ้อมด้านหลังของน้ำตกนี้ แน่นอนเราจะเปียกไปทั้งตัว เลยต้องใส่เสื้อ กางเกงที่กันน้ำ ที่น้ำตกนี้พาแม่ขึ้นไปด้วย แต่ยังไม่ถึงครึ่งทาง บอก." ม้า...ไปจุ๋มลงไปส่งม้าที่รถดีกว่า " ม้าเห็นด้วยเพราะมันไม่ง่ายเลย ทางขึ้นบันได้ที่แคบเพราะเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย อีกทั้งน้ำที่กระเด็นมาตลอด ถึงเสื้อผ้าเราจะกันน้ำ แต่ หน้าเราก็เปียกไปหมด ถ้ามีรอบหน้าคงต้องติด goggles มา


Skogafoss เป็นหนึ่งในน้ำตกที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดของประเทศนี้ ด้วยความกว้างที่ 25เมตร สูง 60 เมตร และปริมาณละอองน้ำตกที่ไหลออกมาอย่างมากมาย ในวันที่มีแสงแดด จะทำให้เราได้เห็นแถบสีสวยงามของรุ้งกินน้ำ เราสามารถมองเห็นน้ำตกจากถนนสายหลักได้เลย
เราขึ้นบันไดไปยังด้านบนของน้ำตก เป็นบันได้ที่เดินง่าย ๆ เพียงแต่มันสูงมาก (ประมาณ 500 กว่าขั้น) และม้าก็รู้แล้ว เลยรอในรถดีกว่า เราจึงไปกันเอง ก็ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงยอด ต่อจากนั้นจะเป็นที่เริ่มต้น Trail สำหรับนักเดินป่าถ้าอยากจะเดินต่อไปอีก
ในขณะที่เราเดินชมธรรมชาติ เราก็ต้องระวังตัวตลอดเวลาที่เราเดิน บางแห่งไม่มีเขตกั้น ถึงอยากจะได้รูป ที่สวยขนาดไหน เราก็ไม่ควรที่จะละเลยเรื่องความปลอดภัย
Reynisfjara เป็นหนึ่งในสถานที่ ที่มีชื่อว่าอันตรายที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ คือสวยมีเสน่ห์แต่โหด จะมีป้ายเตือนนักท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น ว่าอย่าเข้าใกล้ชายหาด ระวังหินตกใส่ เราควรอยู่ห่างอย่างน้อยกี่เมตร เพราะหาดนี้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ด้วยความที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทะเลดูสงบมาก แต่ในเวลาที่เราหันหลังให้ และเพลินอยู่กับการถ่ายรูป อาจจะมีคลื่นเขยิบเข้ามาอย่างรวดเร็วอย่างที่เราไม่คาดคิด เลยได้ชื่อว่า sneaker wave เพราะมันจะแอบมาด้านหลังคุณ แบบไม่รู้ตัว แล้วลากคุณลงไปในทะเล
Jokulsarlong อีกสถานที่หนึ่งที่ต้องแวะ เป็นทะเลสาปธารน้ำแข็งที่หลุดออกจากภูเขาน้ำแข็งและลอยออกไปในทะเล น้ำทะเลซัดก้อนน้ำแข็งเหล่านี้ เข้ามาในทะเลสาป ก้อนน้ำแข็งบางชิ้นก็ฟอร์มตัวกันสูง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง บ้างก็มีสีฟ้าสด บ้างก็ใสแบบคริสตัล และดูสวยงามมากเมื่อตัดกับทรายสีดำที่ชายหาด ที่เกิดจากภูเขาไฟปะทุเมื่อหลายศตวรรษก่อน ทำให้ที่นี่มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Diamond Beach
ภูมิประเทศที่นี่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยเนื่องจากสภาพอากาศที่อุ่นขึ้นทุกปี น้ำที่ทะเลสาปนี้มาจากธารน้ำแข็งที่ละลาย จึงจะเป็นไปได้ว่าในภายภาคหน้าทะเลสาปนี้จะเปลี่ยนไปเป็นอ่าวที่กว้างและลึกแทน
ลืมเล่าค่ะว่าก่อนออกเดินทางเราได้ซื้ออุปกรณ์สวมรองเท้า กันลื่นล้มในเวลาที่เราต้องเดินบนพื้นที่มีน้ำแข็งเกาะ กว่าเราจะลงจากรถกันแต่ละหน เราก็ใช้เวลาอย่างน้อยเกือบ 10 นาที แต่งองค์ทรงเครื่อง การเที่ยวครั้งนี้ต้องระวังตัวกันมาก ๆ ถึง มากที่สุด
ทุกครั้งก่อนที่ดิฉันจะเดินทางไปแต่ละแห่ง จะต้องค้นคว้าหาอ่าน และจะเข้าร่วมกลุ่ม FB เพื่อรับข่าวสาร ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพอากาศ หรือ tips ต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในช่วงที่เราเดินทาง และสองอาทิตย์ก่อนที่เราจะไปที่ทะเลสาปนี้ มีคุณป้าท่านหนึ่ง นั่งอยู่บนก้อนหินน้ำแข็งเพื่อที่จะถ่ายรูป และ ก้อนหินแตกออกจากกัน ทำให้ส่วนที่คุณป้านั่งอยู่ลอยออกไปในทะเลสาปอย่างรวดเร็ว เคราะห์ดีที่ มีคนเอาเรือออกไปช่วยได้ทัน และกลับเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย
ก็ยังอยากได้รูปสวย รูปนี้นั่งบนก้อนน้ำแข็งที่แตกอยู่บนฝั่ง เพื่อให้แน่ใจว่า ยังไงดิฉันคงจะไม่ถูกพัดออกไปอย่างแน่นอน 😁
Stokksnes และเป็นอีกแห่งที่เป็น Black sand beach เราไปแวะที่หมู่บ้านไวกิ้งที่สร้างขึ้น เพื่อการถ่ายทำหนัง แต่ไม่ได้ใช้โดยถูกปล่อยทิ้งไว้ ให้ผู้คนที่ผ่านมาเข้าไปเยี่ยมชม ฉากหลังหมู่บ้านเป็นภูเขา Vestrahorn
ลมที่นี่แรงมากกก
ช่วงที่ขับรถจะไปอีกสถานที่นึง เราจอดแวะเที่ยวตามทาง ซึ่งมีหิมะปกคลุมตลอดทาง ต้องระวังเป็นอย่างมากมิฉะนั้นเราอาจจะติดหล่มได้ บางครั้งพื้นที่เกาะเป็นน้ำแข็ง ทำให้ล้อรถหมุนฟรี เราต้องเอาแผ่นยางมาวางใต้ล้อรถ เพื่อที่จะให้ล้อขยับออกจากพื้นน้ำแข็งที่ลื่น เหตุผลอีกอย่างหนึ่งคือ ยางรถ motorhome คันที่เราเช่า ร่องดอกยางค่อนข้างจะหมดแล้ว
น้ำตกที่ Iceland มีมากถึงหมื่นกว่าแห่ง ไปที่ไหน ก็จะมีน้ำตกค่ะ เผอิญเราเริ่มจากน้ำตกที่สวยมาก ใหญ่มาก ของที่สุด ขับเป็นวงกลม แล้วช่วงที่เริ่มกลับ ความตื่นเต้นเริ่มลดลง เพราะเราได้เห็นมาตลอดทาง น้าผู้หญิง และแม่ ปฏิเสธที่จะเดินไปน้ำตก (โดยเฉพาะแม่ของดิฉัน ไม่อยากจะลงไปเดินแล้วค่ะ ต้องอ้อนวอนให้ลงจากรถค่ะ อยู่บนรถอุ่นสบาย แต่ไม่ดีพอ เพราะ แม่เริ่มเป็นตะคริวที่ขา ดิฉันเลยคิดได้ว่า อ้อ.. เมื่อวานไม่ยอมลงมาเดินเลย)
น้ำตกแห่งนี้จำไม่ได้เลยว่ามีชื่อว่าอะไร แต่ไม่ใหญ่มาก ยังมีน้ำไหล ไม่ได้เป็นน้ำแข็งไปหมด แต่เราต้องเดินด้วยความระมัดระวังเพราะ หิมะปกคลุมจนไม่แน่ใจ เราจะเหยียบแล้วผลุบหายไปมั้ย เลยพยายามเกาะตามหินก้อนใหญ่ เราไม่ได้เข้าใกล้มาก อยู่แค่ห่าง ๆ แบบนี้ค่ะ
แวะเข้าไปในเมืองที่มีโบสถ์เล็กสีฟ้า Seydisfjordur
ตามทางผ่าน แวะน้ำตกอีกค่ะ ต้องเดินเข้าไปไม่ไกลมาก มองไปทางไหน ก็ขาวโพลนไปหมด สวยมาก และน้ำตกก็เป็นน้ำแข็ง
On our way to Myvatn และเราก็ได้เห็นเก้าอี้สีขาวที่โด่งดัง (เพราะใคร ๆ ก็ต้องมาถ่ายรูป)ที่ตั้งอยู่แบบโดดเดี่ยว in the middle of nowhere ท่ามกลางหิมะสีขาวโพลน
อาจารย์เริ่มรีวิว ครีมที่ติดตัวมาใช้ คือเค้าให้ใช้ฟรี เลยต้องรีวิวให้เค้าหน่อย😛
สถานที่ต่อไปเป็น Geothermal field เราสามารถลงไปเดินรอบๆได้ อีกแหละค่ะ ด้วยความระมัดระวังอีก มันมีความร้อยใต้พื้นดิน แต่เพราะอากาศที่หนาวเราเลยไม่รู้สึก พื้นดินเป๋นสีน้ำตาลบ้าง สีเงินบ้าง เป็นสีของกำมะถัน ในขณะที่เดินก็จะเห็นควันพุ่งออกมาจากหลายจุด มีกลิ่นกำมะถันที่ค่อนข้างชัดเจน พื้นดินลักษณะเป็นโคลน ติดรองเท้าเหนอะหนะมาก น้องจัดภาพตัวเองเดินออกจากกลุ่มควันที่พวยพุ่งจากพื้นดิน แบบ Deja vu
สถานที่ต่อไปเป็นน้ำตกที่น่าทึ่งมาก Godafoss เป็นน้ำตกรูปเกือกม้าที่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Fossholl
พา สว กลับไปที่รถ เนื่องจากเกิดอาการวิงเวียนขึ้นมากระทันหัน
หัลังจากนี้ก็ มีเรื่องตื่นเต้น คือเราแวะเข้าไปในเมืองเล็กเมืองนี้ ถนนปกคลุมไปด้วยหิมะ บางแห่งเป็นน้ำแข็งเกาะ ทางเข้าเป็นทางลงเนิน ขากลับตอนที่เรา ต้องการจะออกจากหมู่บ้าน เราไม่สามารถขับขึ้นเนินได้ รถเป็นรถ 6 ล้อ น้ำหนักก็มาก ยางไม่ค่อยเกาะถนน พอเร่งเครื่องขึ้นเนิน รถกลับไหลย้อนลงมา ใจหายใจคว่ำมาก เราเริ่มลงจากรถ เพื่อให้น้ำหนักเบาลง ลองอยู่ สามหน ก็ยังไม่สามารถผ่านไปได้ โชคดีที่ไม่มีรถด้านหลัง ดิฉันต้องวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือในร้านสะดวกซื้อ คือเข้าไปถามว่ามีทางออกจากหมู่บ้านทางอื่นที่ไม่มีเนินมั้ย มีค่ะ โชคดีไป คิดไปว่าต้องเรียกรถลากแล้ว
หลังจากตกอกตกใจเรื่องรถ ลื่นไหลถอยหลังที่เนินแล้ว เราก็ขับไปต่อ จากที่นี่เราอยู่จากเมืองหลวงแค่ร้อยกว่ากิโล ใกล้จะจบทริปแล้ว
น้ำตกอีกที่นึง ชื่อ Hraunfossar หรือ น้ำตกลาวา มันเกิดจากการไหลของลาวาของภูเขาไฟที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็ง
แล้วเราก็มาเจอเรื่องตื่นเต้นอีกจนได้ สามคืนก่อนจะกลับ มีพายุเข้าตอนกลางดึก ตกใจตื่นเพราะรถเขย่าอย่างแรง เช้าวันนั้นตั้งใจจะไปดูภูเขาที่ขึ้นชื่อ Kirkjufellsfoss อย่างที่ทราบว่าเราต้องเช็คอากาศตลอดก่อนออกเดินทาง วันนั้นความเร็วของลมอยู่ที่ 19 ถ้า wind speed สูงกว่า 15 มันจะค่อนข้างแรง สำหรับรถ motorhome ซึ่งสามารถพลิกคว่ำได้อย่างง่ายดาย เพราะเนื้อที่กว้างด้านข้างจะเป็นแรงปะทะอย่างดี ทุกเช้าดิฉันจะเช็คอากาศจาก app ที่ลงไว้ วัดกันเป็น meters per second พอเห็นเช่นนั้น แน่นอนค่ะ เราเลยต้องรอดูอากาศ ไม่ขยับไปไหนจนกระทั่งต่ำกว่า 15 m/s

เรารอจนสาย ๆ แรงลมลดลง เราจึงเริ่มออกเดินทาง แต่มันก็ไม่ได้ราบเรียบอย่างที่คิด ระหว่างทาง ลมที่ลดลงเหลือ 12 ก็ยังทำให้ดิฉันนั่งไม่ติดที่นั่ง ความรู้สึกว่าต้องนั่งเอียงไปฝั่งตรงข้ามกับทิศทางลม เพื่อช่วยพยุงรถ สามีจับพวงมาลัยรถก็เช่นกัน ต้องดึงพวงมาลัยไปฝั่งตรงกันข้ามกับทิศทางลม มันเป็นการนั่งรถที่เครียดมาก ๆ ลมที่พัดเข้าใส่ตัวรถ ทำให้เรานั่งเกร็งตัวด้วยความกลัว และยังต้องระวังรถที่วิ่งผ่านไปมา ระหว่างทางที่ไปภูเขานี้เราเห็นรถตกข้างทางหลายคัน อยู่ในกองหิมะ เป็นไปได้ว่า อาจจะเกิดอุบัติเหตุตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
และแล้วเราก็มาถึงที่ภูเขานี้ เราคาดหวังว่าจะได้เห็นภูเขารูปทรง สามเหลี่ยม สูงสง่า ที่เราเคยเห็นในรูป แต่ว่าก็ผิดหวังเล็กน้อยค่ะ อากาศแบบนี้ ทำให้เราไม่ได้เห็นยอดเขาอันสวยงาม ที่ตั้งใจจะมาดู
และอีกครั้งค่ะ ตกเย็นเราจำเป็นต้องจอดรถที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งเพื่อหลบกระแสลม คืนนั้นไม่ได้เข้าพักที่ camp ซึ่งดูตามสถานการณ์แล้ว มันน่าจะปลอดภัยกว่าการที่จะขับรถไปต่อ เพราะ รอบ Reykjavik สภาพอากาศไม่ดีเอาซะเลย เราจึงจอดรอ และนอนในปั้มน้ำมันจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น อย่างที่เขียนข้างต้น ที่เราจะไม่สามารถเข้าไปจอดในที่ ไม่ได้เตรียมไว้สำหรับรถบ้านนี้ แต่ก็ไม่มีใครมาว่า เพราะต่างก็เข้าใจในสภาพอากาศ แต่เรามีเอ่ยปากบอก ผู้จัดการร้านไว้ว่า ขออนุญาตจอดที่นี่และขอใช้ห้องน้ำในปั้มน้ำมันด้วย คืนนั้นเราเลยซักแห้งกัน แต่ก็ยังดีกว่าออกไปเผชิญกับภัยธรรมชาติค่ะ หลังคารถปกคลุมไปด้วยหิมะ สลับกับฝน

วันรุ่งขึ้นอากาศกลับเป็นปรกติ เราเลยขับรถเข้าเมือง เดินเล่น และซื้อของ เตรียมตัวจบทริป คืนนี้เราเข้าพักโรงแรมเพื่อที่จะแพ็คของแบบสบาย ๆ และพรุ่งนี้ต้องคืนรถก่อนที่จะไปสนามบิน ก่อนจะคืนรถก็ยังต้องปวดหัวเกี่ยวกับการหา dump station คือมีปัญหาตลอดทางค่ะ แต่วันสุดท้ายมันจะต้องคืนรถแล้ว ยังไงเราต้องทิ้งน้ำสกปรก ทำความสะอาดกล่องเก็บ แต่ไปกี่ที่ ๆ ทั้งโทรถามก็แล้ว ก็ไม่มีที่ไหนเปิด จนหมดอารมณ์ เลยโทรกลับไปที่รถเช่าบอกว่า ยู ชั้นหมดปัญญาจริง ๆ สถานที่ ๆ ยูบอกให้ไป ไม่มีที่ไหนเปิด จะให้ชั้นทำยังไง วนหาตั้งหลายที่แล้ว ทางบริษัทรถบอก โอเค เอามาดั้มพ์ที่คืนรถได้ (ตบหน้าผากตัวเองหนึ่งที) ปัทโธ่ น่าจะบอกให้เราทำแบบนี้ซะแต่แรก แต่ก็เข้าใจค่ะ ถ้าทุกคนเอามาทิ้งที่ที่บริษัทคืนรถหมดคงจะไม่ไหวแน่
จบทริปไอซ์แลนด์ น้าผู้หญิงมากระซิบว่า ชั้นว่านะเที่ยวครั้งนี้น่ากลัวที่สุด เธอว่ามั้ย ฮ่าๆๆ นึกในใจ โห...อี้ จุ๋มใจไปอยู่ตาตุ่มเกือบทุกวัน สนุกก็สนุก แต่ยอมรับว่า มันน่ากลัวจริง ๆ กลัวรถติดหล่ม กลัวลมที่แรง อ้อ..อีกเรื่อง เวลาเราเปิดประตู เราก็ต้องระวังมากค่ะ ลมที่แรง สามารถพัดประตูหักได้เลยจริง ๆ ค่ะ ทุกครั้งที่จะลงจากรถ จะต้องเตือนกันว่าค่อย ๆ แง้มก่อนนะ
เขียนเล่าสู่กันฟังค่ะ ตกหล่นบ้างเพราะ ผ่านมา 5 ปีแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น