Norway


เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มี ทริปกระทันหันที่สองจิตสองใจว่าจะไปดีไม่ดี เพราะเจ็บสะโพก จะเดินลำบาก ในที่สุดก็บอกตัวเองว่าไปเถอะ ค่อยว่ากันที่หลัง ติดยาแก้ปวดไปด้วย เดินน้อยหน่อย กินมากหน่อย

ไปนอร์เวย์ค่ะ ไปมา 2อาทิตย์ ไม่ได้หารายละเอียดอะไรมากมาย แค่รู้ว่ าเป็นทริปในใจที่อยากไปสักหน เผื่อจะได้เห็นแสงเหนือ แพลนที่จะไปกับสามี 2คน แต่น้องสาวก็ตื้อขอไปด้วย  เลยชวนน้าสาวอีก 1คน แต่เนื่องจากเป็นทริปที่เร่งด่วน น้าสาวเลยปฏิเสธ เพราะเตรียมตัวไม่ทัน โดนแซวว่า ทีหลังบอกเร็วกว่านี้หน่อยนะ 😁

เราบินไปลง Oslo และต่อเครื่องไป Tromso airport และนั่งรถบัสเข้าเมืองประมาณ 20 นาทีค่ะ  ปรกติจะเช่ารถที่สนามบินเลย แต่เนื่องจากเราตัดสินใจที่จะไป  ช้า จองไม่ได้เลย  ต้องโทรไปที่ Avis และให้เค้าช่วยดูว่าไม่มีรถเช่า ในวันที่เราต้องการแน่  แล้วถ้าเป็นวันรุ่งขึ้นพอจะมีรถมั้ย สรุปว่าวันรุ่งขึ้นมีรถค่ะ เราเลยเข้าไปและได้ instant confirmation ส่วนที่พักช่วงหลังเราใช้ airbnb ตลอด นอกจากว่าไม่มี ก็จะดู bookingdotcom หรือดูแล้วเปรียบเทียบ แล้วแต่ว่า ที่ไหนจะเหมาะกับเราที่สุด เราเลือกเป็น อพาร์ทเม้นท์ บ้าน จะได้ทำอาหารได้ เน้นอยู่ตามเส้นทางที่เราจะไป มีเครื่องซักผ้า มีครัว มี wifi และที่จอดรถ เน้นไม่มีกระได แต่หลุดหลายที่ค่ะ อ่านไม่ถี่ถ้วน ก็ต้องปีนกระไดบ้าง 

นอร์เวย์ รู้จักแต่ แสงเหนือและลอฟโฟเทน ค่อยๆไปละกัน  ทางเหนือ 1อาทิตย์และบินกลับมาที่ Oslo อีก 6วัน เวลาไม่พอหรอกค่ะถ้าจะเน้นเที่ยวไปที่เดียว น่าจะดีกว่า ขับรถทางเหนือไม่ง่าย ทางดีมากนะค่ะ แต่แคบ มี speed limit ปรกติวิ่งได้แค่ 60-70 กม ต่อ ชม เราแวะตามทาง ถ่ายรูป เข้าห้องน้ำ ที่คิดว่า 3ชม จะถึงที่พัก กลายเป็น 4-5 ชม เดือนตุลาคม เริ่มมืดเร็ว ส่วนใหญ่เราถึงที่พัก มืดแล้ว อีกอย่างนึงที่ต้องคำนึง คือ รถเช่าค่ะ เป็นรถไฟฟ้า 100% เลยต้องเผื่อเวลาสำหรับการชาร์จด้วย ต้องบริหารเวลาดี 

เราจะไปให้ถึง  Lofoten และเที่ยวเกาะต่าง ๆ ภายในบริเวณใกล้เคียง และกลับมาคืนรถที่สนามบิน Tromso  เพื่อที่จะบินกลับไป Oslo เช่ารถอีกคันค่ะ

รับรถขับมาที่พักแรก คือ Senja เป็นฟาร์มแพะค่ะ เป็นธรรมชาติดี เจ้าของบ้านรู้ว่าเรามาตามหาแสงเหนือ เลยบอกว่าเดี๋ยวคืนนี้มี sign เมื่อไรจะมาเคาะประตูนะ แล้วเค้าก็มาเคาะจริง แต่ว่า แสงเหนือคืนนั้นน้อยนิดมาก แต่ก็พอที่จะทำให้เรารู้ว่า นี่คือแสงเหนือ คือ มองด้วยตาเปล่า จะเป็นแสงสีขาวบนฟ้า (ถ้าแรงมาก จะเห็นเป็นสีต่าง ๆ ด้วยตาเปล่า) ด้านรอบๆ ต้องไม่มีแสงจากนีออนจากบ้าน  ไฟฟ้าตามถนน 







ช่วงเช้าเราเลยออกมาเดินเล่น สูดอากาศบริสุทธิ์ ฝูงแพะที่เจ้าของปล่อยออกมาให้ไปหาเบรกฟาสตอนเช้า จะมีเจ้าหมาตัวมหึมา คอยเป็นพี่เลี้ยง ไล่ต้อนอยู่ใกล้ ๆ  ฝูงแพะที่วิ่งผ่านตอนแรกก็กลัวว่าจะเหม็นสาป  เหม็นขี้แพะ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ กลิ่นที่คิดว่าจะเหม็นกลับ เป็นกลิ่นชีสค่ะ แบบนั้นเลย  Goat cheese มาเลยลอยอยู่ตรงหน้า


Introducing "Molly"




เดินทางต่อ แวะจุดชมวิวตามทาง Bergsbotn และ Tungeneset Viewpoint ก่อนที่จะถึงต้องแวะเติมพลัง ทั้งรถและคนค่ะ ด้วยความที่ไม่เคย กว่าจะคลำทางเจอ ลง app เสียบไฟชาร์จ ปาดเหงื่อเล็กน้อย  😅 ระหว่างรอ 30-40 นาที เราก็หาที่นั่ง ทานกลางวันกัน เราจะชาร์จแค่ประมาณ 80% เท่านั้น มากกว่านี้จะใช้เวลาค่อนข้างนาน 




อาหารกลางวันที่เตรียมมาก็จะเป็นพวกข้าวปั้นค่ะ ถ้าไปหาร้านอาหารนั่งกิน ต้องแวะเข้าเมือง หรือไม่ก็ Hotdog ตามปั้มน้ำมัน ส่วนน้ำดื่มที่นอร์เวย์ เราดื่มจากก๊อกน้ำได้เลย หวานอร่อย 

Bergsbotn Utsiktsplattform



Tungeneset Viewpoint

กว่าจะถึงทีพักที่ Narvik ก็มืด เราซื้อพิซซ่ามาเป็นอาหารเย็น มีเรื่องตลกคือ ปรกติเราจะหยิบกุญแจจาก box เองโดยที่เจ้าของบ้าน ส่งข้อความบอกวิธี รหัสโค๊ด เราจะไม่เคยเจอเจ้าของเลย (ส่วนใหญ่) เข้าประตูชั้นแรกด้วยโค๊ดเรียบร้อยแล้ว  บ้านฝรั่งจะสร้างมีการเล่นระดับเยอะ  แต่บ้านนี้เปิดประตูเข้าไป เจอประตูอีก 4 หรือ 5 บาน อาจจะเพราะ กำลังปวดเข้าห้องน้ำ เปิดประตูทุกบาน ซ้ำไปซ้ำมา ก็ยังหาทางเข้าบ้านจริง ๆ ไม่ได้ เจอห้องซักผ้า อีกบานนึงเจอตู้เก็บผ้าห่ม ผ้าปูเตียง และห้องเก็บของ อีก 2 บาน เปิดไม่ออกเข้าใจว่า ล๊อค เป็นส่วนที่ connect กับบ้านเจ้าของบ้าน เหลืออีก หนึ่งบาน เปิดเท่าไรก็ไม่ออก จนน้องสาวเดินเข้ามา แล้วช่วยเปิด ทุกบาน เธอเจอห้องนอนห้องนั่งเล่นและครัว ปาดเหงื่ออีกรอบ อะไรแว้ คงจะปวดอึจนหน้ามืดตามัว 😁

ที่ Narvik ตื่นเช้าตี 5 toilet call มองออกไปที่หน้าต่าง ว้าว .. นี่จะใช่แสงเหนือมั้ยเนี่ย หยิบ Iphone มาถ่าย แล้วไปปลุกน้องและ สามี
ภาพนี้ถ่ายด้วยกล้อง Olympus ปรับยังไม่ได้ที่ค่ะ 


ถ่ายด้วย Iphone



พอสว่าง แสงเหนือก็หายไป แต่ได้เห็นแค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว เราเลยออกเดินทาง วันนี้จะไปถึง Lofoten มีภาพตามทางผ่าน



เราพักที่ Svolvaer 2 คืน เป็นเมือง ๆ หนึ่งใน Lofoten จากที่พัก เราสามารถเห็นแสงเหนือด้วย เจ้าของบ้านแนะนำให้ขับรถออกไปเมืองใกล้ ๆ เพื่อตามหาแสงเหนือ เราออกจากบ้านประมาณ 1ทุ่ม ขับไปยัง Svinoya และ Kongmarka และเราก็ได้เห็นตามภาพด้านล่างค่ะ 


วันรุ่งขึ้น ขับรถเที่ยวชมเมืองในเกาะ Lofoten เราแวะเมือง A (ออ),  Henningsvaer, Nusfjord,  Hamnoy, Sakrisoya แต่ฝนตกพรำ ๆ ตลอด  จะเรียกว่ามาชะโงกดู ก็ใช่ค่ะ 



















เราก็เริ่มออกเดินทางกลับ Tromso แวะพักครึ่งทาง จะได้ไม่ต้องขับรวดเดียว ซึ่งจะใช้เวลา 6-7 ชม



ไฟล์ทค่อนข้างเช้า คืนรถที่สนามบิน ดร็อบ กุญแจในกล่อง ประกันรถไว้ครอบคลุมทุกอย่าง ก็ไม่ต้องห่วงว่าบริษัทรถเช่าจะมาตามอะไร นอกจาก ค่าจอดรถ หรือ toll ที่จะมาชาร์จกับบัตรเครดิต

ที่สนามบิน ห้ามลืมที่จะซื้อไวน์หนีบไปด้วยนะค่ะ ถูกและดี จะได้มีไว้กรึ๊บกับ ซาซิมิ 😋

ช่วงที่ 2 เรา pick up รถที่สนามบิน Oslo แพลนที่จะเที่ยวตามเมืองดังที่ชื่อว่า Bergen, Flam ซึ่งต้องขับรถนานเลยพักครึ่งทางอีก คราวนี้ ไม่เอารถไฟฟ้าแล้ว เพราะรู้แล้วว่ามันไม่ง่าย ถึงเราสามารถจะ แพลนได้แต่ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี เราเลย opt เป็นรถ Hybrid แทน   คืนแรกพักที่ Geilo เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นสกี มีสถานที่สำคัญ พื้นที่ภูมิประเทศเป็นภูเขา เราเลยพักที่บ้านเล็กในป่าใหญ่ แวะซื้อปลาดิบเข้าไปด้วยจะได้ซดกับไวน์ที่หนีบมาถูก ๆ (ประมาณขวดละ 4-500 บาท) ปลาซาลมอน ก็ราคาประมาณ 400 บาท/120 กรัม






แล้วหิมะก็ตก ที่นอร์เวย์ดีอย่าง จะหนาวยังไงเราก็รู้สึกอุ่นพอ  เพราะส่วนใหญ่ตามบ้านมี เครื่องทำความร้อนไฟฟ้ากันทุกบ้าน 

แวะมาเที่ยวก่อนออกจาก Geilo 





GeiloJorde เป็นเหมือนสวนสาธารณะ ที่ผู้คนสามารถเข้ามาเยี่ยมชม บ้านพวกนี้มาจาก ศตวรรษที่ 18 และ 19 เป็นโรงนา บ้าน ยุ้งฉางเก่า

ขับออก Geilo หิมะตก ตลอดทาง แต่พอข้ามภูเขามาอีกฟากนึง ทิวทัศน์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ก็เปลี่ยนจากสีขาวโพลน มาเป็นสีเหลืองของฤดูใบไม้ร่วง







ระหว่างทางที่จะไป Flam (ฟรอม) แวะ Stegastein Viewpoint 



และ Jutlamannen waterfall ถ้าสังเกตดีๆ ที่บนยอดเขา จะมีรูปปั้นหิน Troll เป็นเรื่องเล่าเป็นตำนานต่อ ๆ กันมาด้วยค่ะ มี trail สำหรับคนชอบเดินป่า


พักที่ Aurland วันต่อมา อยากไปดูโบสถ์ไม้ของ Norway ชื่อ Borgund Stave Church ซึ่งเป็นโบสถ์ไม้ที่สำคัญและมีชื่อเสียง อายุประมาณ 800 กว่าปี เป็น 1ใน 28 ที่หลงเหลืออยู่ใน นอร์เวย์ ขับรถข้ามอุโมงค์ที่ยาว ถึง 24 กม ค่าเข้าโบสถ์คนละประมาณ 360 บาท









ช่วงบ่ายเราขับรถกลับมาที่ Flam เพื่อที่จะะนั่งเรือชมวิว เรามีเวลาไม่มากแทนที่จะนั่งเรือโดยสารใหญ่ เราเลยนั่งเรือเล็ก แทน ซึ่งทัวร์ใช้เวลาเพียง 1.30 ชม ค่าเรือคนละ 2000 กว่าบาท ไปน้ำตกที่ชื่อ Sagfossen เรือจะแล่นผ่าน Aurlandsfjord ถึง Naeroyfjord  และแล่นผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ด้วย


หมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า Undredal มีประชากรประมาณ 100 คน ซึ่งน้อยกว่าประชากรแพะ  ที่นี่ผลิต ชีสสีน้ำตาล และมี Stave church หรือโบสถ์ไม้ 1 ใน 28 ที่เหลืออยู่ใน Norway

Sagfossen


สวยเกินคำบรรยายค่ะ ทางบริษัทเรือมีเสื้อผ้าให้เราสวมใส่ ห่อหุ้มอย่างดี มีทั้ง goggles ถุงมือ ชุดแบบ overalls  ที่ทางใต้อากาศไม่หนาวเท่าทางเหนือที่เราผ่านมา แต่ก็ยังเป็นเลขตัวเดียว ค่ะ  

ลงจากเรือมาก็ค่อนข้างเย็นแล้ว น่าจะประมาณ 4-5 pm เรายังต้องขับรถไปอีกประมาณ 160 กิโลเมตร ไปBergen ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง บวกลบ คืนนี้ก็มีเรื่องตลกงี่เง่าอีก บ้านพักที่จองมี ที่อยู่เรียบร้อย เรามาถึงก็มืดแล้ว ทึ่อยู่ก็ถูกแน่นอน ดูแล้วดูอีก แต่ทำไม code ใช้ไม่ได้แว้ มองดูรูปภาพในเวป ยังไม่ตรงซะทีเดียว แต่หาประตูอื่นไม่เจอ มีบานนี้บานเดียว กดโค๊ดอยู่นาน เลย โทรติดต่อเจ้าของดีกว่า ยืนหน้าประตู  โทรหาเจ้าของบอกชั้นเปิดประตูไม่ได้   โค๊ดประตูถูกมั้ยจ้ะ ก็ถูกนะ เจ้าของบอกเดี๋ยวจะ reset ให้ ก็ยังเปิดไม่ออกอะ เจ้าของบ้านบอก ยูรอก่อนนะเดี๋ยวให้ neighbour มาช่วย โอเคจ้า รอ  ไม่ถึง 3นาที มีคนเปิดประตูออกมา (ก็ประตูที่เราพยายามจะเปิดแหละ) ผู้หญิงที่มาเปิดประตู เห็นเราเลยบอกว่า it is not this door.  OMG ขอโทษค่ะ  (อีกแล้วตรู) ขอโทษจริงๆ รู้สึกหน้าชามากเลย  เค้าเลยพาเราเดินอ้อมมาด้านข้าง เริ่มเหมือนในรูปภาพล่ะ บ้านเดียวกันทางเข้าคนละด้าน คนที่มาเปิดก็เป็นผู้เช่าที่อยู่ชั้น 2 😆 ทางเข้าบ้านพักเราอยู่ Ground แต่ต้องเดินอ้อมมาอีกด้านนึง
                               รูปทางเข้าบ้านที่ทางเจ้าของโพสต์ไว้ในเวป

วันรุ่งขึ้นที่ Bergen วันนี้แพลนเดินเล่นในเมืองทั้งวัน ไปท่าเรือ Bergen ถ่ายรูป แวะไปกิน hotdog ที่เค้าว่าต้องลอง กันคนละอัน และซื้อชีส

Port of Bergen

Fish market 



เก็บครบแล้วค่ะ Flam และ Bergen ต่อจากนี้ก็จะเริ่มขับกลับ Oslo Airport ขากลับใช้เส้นทางคนละทางกับขามา เมื่อวันที่นั่งเรือเราผ่านเมือง Undredrel ถ่ายรูปจากเรือเข้าไปที่หมู่บ้าน ทำให้อยากจะแวะเข้าไปชมหมู่บ้าน ดูแผนที่ไม่ย้อนมาก ยังอยู่ในเวลาที่สามารถทำได้ แต่ก็มีจุดแวะชมวิวตามทาง ทำให้เราถึง Undredal บ่าย 3

Undredalเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Aurlandfjord หมู่บ้านนี้มีประชากรแค่ 75 คน และมีแพะมากกว่า 400 ตัว เลยทำให้เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงก้องโลกในการผลิตชีสสีน้ำตาล และเป็นหมู่บ้านที่มี Stave church ที่เล็กที่สุด ที่หลงเหลืออยู่ใน นอร์เวย์  ก่อนหน้า คศ 1980 ไม่มีถนนเข้าหมู่บ้าน จะต้องใช้เรือเท่านั้น 

เมื่อวันก่อนได้ถ่ายรูปจากเรือมาที่หมู่บ้าน แต่วันนี้ มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชมถึงที่ ขอบอกว่าสวยมากค่ะ








คืนนี้เราไปพักในฟาร์มอีก เป็นบ้านแบบดั้งเดิมของชาวนอร์เวย์ ซึ่งมีหญ้าบนหลังคา ห้องนั่งเล่นใช้เป็นห้องนอนและไม่มีเครื่องทำความร้อนไฟฟ้า แต่มีเตาผิงแทน  เลยต้องใช้เตาผิง แต่จุดเสร็จไม่ชอบเลย มีกลิ่นควันตลบอบอวลอยู่ในบ้าน😬  






เหลืออีกคืนนึงก่อนกลับบ้าน เราเลยเลือกที่พักใกล้สนามบิน เติมน้ำมันให้เรียบร้อย  ซื้อของฝาก แพ็คกระเป๋า รุ่งเช้าจะได้ไปสนามบิน คืนรถและบินกลับบ้าน

สรุปค่าใช้จ่าย 13 คืน ต่อ คน
ค่าตั๋วเครื่องบิน (การ์ตาร์)  28,105 บาท
ตั๋วภายใน 10,041 บาท
ค่าบ้าน 15,636 บาท
ค่ารถไฟฟ้า 6 วัน รวมค่าชาร์จ และค่า Toll 13,030 บาท
ค่ารถ Hybrid 6 วัน รวมค่าน้ำมันและค่า Toll 6,659 บาท
ค่าอาหาร กองกลางรวมค่าเรือ 6,800 บาท
บวก ลบบางรายการที่ลืม ก็คนละประมาณ 80,000 กว่าบาท

เรื่องแรกที่เขียนค่ะ หลังทริปนี้เข้าซ่อมแซมร่างกายก่อน แล้วค่อยออกเที่ยวใหม่ จะมารีวิว การซ่อมแซมร่างกายด้วยค่ะ








ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Total hip replacement เปลี่ยนข้อสะโพกเทียม

ไอซ์แลนด์ อีกทริปที่ต้องตื่นตัวสุด ๆ ICELAND